ภาวะ “New Year’s Blues” หรือ ภาวะซึมเศร้าช่วงปีใหม่ เป็นภาวะที่กรมสุขภาพจิตอยากให้คนไทยตระหนักถึงในช่วงนี้ แม้ไม่ได้เป็นการวินิจฉัยทางจิตเวช แต่เป็นภาวะทางสุขภาพจิตที่ได้รับการพูดถึงมากขึ้น

ภาวะ “New Year’s Blues” หรือ ภาวะซึมเศร้าช่วงปีใหม่ เป็นภาวะที่กรมสุขภาพจิตอยากให้คนไทยตระหนักถึงในช่วงนี้ แม้ไม่ได้เป็นการวินิจฉัยทางจิตเวช แต่เป็นภาวะทางสุขภาพจิตที่ได้รับการพูดถึงมากขึ้น จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด 19 ในช่วงปีที่ผ่านมานั้น อาจทำให้หลายคนเกิดความเครียดเรื้อรังสะสม รวมถึงมีอุปสรรคปัญหาด้านต่าง ๆ เกิดขึ้น ทั้งสุขภาพกาย ปัญหาจากการทำงาน และปัญหาความสัมพันธ์กับผู้อื่น หลายคนไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ตามสิ่งที่ตนเองเคยคาดหวังและวางแผนไว้ ก่อให้เกิดความรู้สึกล้มเหลว ความทรงจำด้านลบ การสูญเสีย และความรู้สึกที่ไม่ดีต่อตนเอง นอกจากนั้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตอยู่เดิม อาจจะมีความเสี่ยงต่อปัญหาด้านสุขภาพจิตเพิ่มยิ่งขึ้นได้ในช่วงนี้ เช่น คนที่มีภาวะซึมเศร้าอยู่เดิมอาจมีอาการเศร้ารุนแรงมากขึ้น และช่วงวันหยุดเทศกาลไม่สามารถสร้างความสุขให้ได้ นอกจากนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ที่ยังไม่สิ้นสุดลง ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางไปพบคนในครอบครัว หรือไม่ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันในช่วงปีใหม่ ทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างมีข้อจำกัด  อาจส่งผลให้เกิดความเครียด ความรู้สึกเหงา และความเศร้าที่มากขึ้นได้อีกด้วย 

กรมสุขภาพจิตอยากรณรงค์ให้คนไทยทุกคนช่วยกันป้องกันตนเองและคนใกล้ชิดไม่ให้เข้าสู่ภาวะ New Year’s Blues โดยสามารถทำได้ โดยหมั่นสำรวจอารมณ์ของตนเองและคนรอบข้าง โดยประเมินตัวเองผ่าน    www.วัดใจ.com   และมีการมองเห็นคุณค่าของตนและสิ่งดี ๆ ที่ตนเองได้ทำไว้ในช่วงที่ผ่านมา  เช่น การมองหาสิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้ พลังใจที่เกิดขึ้นในตนเอง การไม่ยอมแพ้ต่อปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ รวมถึงการแบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่น    ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ควรใช้เวลาที่มีคุณภาพกับครอบครัวหรือคนสนิท หากไม่สามารถเดินทางไปพบคนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูงได้ ก็สามารถเรียนรู้วิธีใช้ช่องทางออนไลน์ในการเชื่อมความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างเพิ่มเติม

 

ทั้งนี้ หากรู้สึกว่าตนเองอาจมีภาวะ New Year’s Blues สามารถเริ่มปรึกษาพูดคุยกับใครสักคน เช่น คนใกล้ชิดหรือสมาชิกในครอบครัว นอกจากนั้นสามารถติดต่อขอคำปรึกษาจากสายด่วนสุขภาพจิต 1323 หรือ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่

 

 

 

ที่มา : https://www.thaihealth.or.th/Content/55742